ประวัติ ของ พระครูประสาธน์ขันธคุณ (มุม อินทปญโญ)

ชาติกำเนิด

หลวงปู่มุม หรือ พระครูประสาธน์ขันธคุณ มีนามเดิมว่า มุม นามสกุล บุญโญ ชาตะ ในต้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2429 ตรงกับวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน ณ บ้านปราสาทเยอ ตำบลปราสาทเยอ อำเภอไพรบึง (เดิมคือท้องที่อำเภอขุขันธ์) จังหวัดศรีสะเกษ (เดิมคือจังหวัดขุขันธ์) ซึ่งเป็นชุมชนที่มีกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมเป็นชาวเยอตั้งถิ่นฐานอยู่ หลวงปู่มุมจึงเป็นชาวเยอ มีโยมมารดาชื่อนางอิ่ม บุญโญ โยมบิดาชื่อนายมาก บุญโญ มีพี่น้องร่วมมารดาและบิดาเดียวกันจำนวน 5 คน เป็นชายจำนวน 3 คน หญิงจำนวน 2 คน พื้นฐานครอบครัวเป็นชาวนาชาวไร่ มรณภาพเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2522 ในรัชกาลปัจจุบัน จึงเป็นพระสมณเจ้าที่มีชีวิตอยู่เป็นเวลายาวนานถึง 5 รัชกาลหรือ 5 แผ่นดิน (ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 9) ศิริอายุรวม 93 ปี โดยอยู่ในเพศบรรพชิต 73 พรรษา

ชีวิตวัยเด็ก

ด้วยความที่ถือกำเนิดในครอบครัวเกษตรกรที่มีฐานะลำบาก เมื่อเจริญวัยถึงระยะที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้แล้ว ตั้งแต่อายุ 5-6 ขวบ เด็กชายมุม ได้ช่วยเหลือบิดามาดาทำไร่ทำนา แต่เมื่อว่างเว้นจากภารกิจดังกล่าว ก็มักจะคลุกคลีอยู่กับวัดเป็นส่วนใหญ่ โดยเจริญรอยตามบิดามารดาซึ่งเลื่อมใสและเคร่งครัดในพระพุทธศาสนา เด็กชายมุมจึงใช้เวลาว่างส่วนมากในการสนทนากับพระภิกษุ สามเณร รวมทั้งเข้าโบสถ์เพื่อไหว้พระสวดสวดมนต์ ตลอดจนฟังพระสวดมนต์ ทำวัตรเย็น อยู่เป็นนิจ

ครั้นเมื่อเข้าสู่วัยเรียน พระอาจารย์พิมพ์ เจ้าอาวาสวัดปราสาทเยอเหนือ ในขณะนั้น เห็นว่าเด็กชายมุมมีอุปนิสัยศรัทธาในพระศาสนา จึงได้ปรารภกับนายมาก ผู้เป็นบิดา เพื่อให้เด็กชายมุมมาอยู่ที่วัดเป็นการถาวร บิดาเห็นพ้องกับพระอาจารย์พิมพ์ จึงได้นำบุตรชายมาฝาหให้อยู่ในความอุปการะของวัดตั้งแต่นั้นมา เพื่อศึกษาเล่าเรียนขั้นมูลฐานตามแบบโบราณ (ในขณะนั้นยังไม่มีโรงเรียน) เจ้าอาวาสได้ให้ความเอ็นดูเด็กชายมุม ด้วยความชื่นชมในปฏิภาณ ไหวพริบและสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด เด็กชายจึงได้รับการถ่ายทอดความรู้ต่างๆ จากเจ้าอาวาส ทั้งการเขียน-อ่านภาษาไทย ภาษาขอม ภาษาบาลี ควบคู่ไปกับความรู้ทางพระธรรม โดยการเรียนร่วมกับพระภิกษุและสามเณรในวัดด้วยความตั้งใจเอาใจใส่ ทำให้มีความแตกฉาน ชำนาญในอักขรวิธีทางภาษาต่างๆและพระธรรม โดยเฉพาะภาษาขอมและภาษาบาลีเป็นอย่างดี จนกระทั่งบรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ 12 ปี

ชีวิตในสมณเพศ

  • สามเณร : บรรพชาเป็นสามเณร เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2441 ขณะอายุ 12 ปี ณ วัดปราสาทเยอเหนือ โดยมีอาจารย์พิมพ์ เจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์
  • ภิกษุ : อุปสมบทเป็นพระ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2449 ขณะอายุ 20 ปี ณ วัดปราสาทเยอเหนือ โดยมีเจ้าอธิการปริม เจ้าอาวาส (ถัดจากพระอาจารย์พิมพ์) วัดปราสาทเยอเหนือ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการพรหมมา วัดสำโรงระวี [4] เป็นกรรมวาจาจารย์, พระอธิการทอง วัดไพรบึง (วัดจำปาสุรภีย์) อำเภอไพรบึง เป็นอนุสาวนาจารย์
  • การศึกษา : เมื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว ได้เพียรศึกษาพระปริยัติธรรมกับไวยากรณ์ภาษาบาลีและพระธรรมบทให้สูงขึ้นจนจบหลักสูตรและยังได้ศึกษามูลกัจจายนะ คัมภีร์พระไตรปิฎก จนจบ 5 สูตร มีความรู้แตกฉานหาใครเปรียบได้ยากในสมัยนั้น อีกทั้งพระอาจารย์ปริมยังได้ถ่ายทอดพระคัมภีร์ทางด้านกรรมฐานและคาถาอาคมขลังทางลงเลขยันต์ ต่างๆ ให้กับพระภิกษุมุมด้วย

นอกจากนั้น ด้วยอุปนิสัยที่รักทางขอมอักขระ อาคม ซึ่งแถบอีสานใต้นั้นศิลปวัฒนธรรมขอมหรือเขมรโบราณได้มีอิทธิพลเจริญรุงเรืองมาเป็นเวลาช้านาน พระภิกษุมุมจึงเข้ารับการถ่ายทอดจากพระอาจารย์ชาวเขมรบ้าง ชาวลาวบ้าง โดยได้เอาใจใส่ฝึกฝนกับพระอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นจนเจนจัดเชี่ยวชาญทางด้านวิปัสนากรรมฐานฝึกจิตให้กล้าแข็งมีสมาธิแน่วแน่ และได้นำมาสั่งสอนศิษยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชนผู้ที่ศรัทธา

  • การเดินทางธุดงค์ กรรมฐานและจำพรรษาในต่างถิ่น
การธุดงค์ครั้งแรกเมื่อเจริญพรรษามากขึ้นตามลำดับแล้ว ท่านได้ออกธุดงค์ตามแบบรุกขมูลกับเพื่อนภิกษุจำนวน 6 รูป ค่ำที่ไหนปักกลดจำวัดที่นั่น จากเมืองขุขันธ์ผ่านไปตามเส้นทางและพื้นที่ต่างๆ จนถึงวัดโคกมอญ เมืองกบินทร์บุรี[5] จึงได้จำพรรษาที่วัดนี้เป็นเวลา 3 พรรษา ได้พัฒนาความเจริญปลูกสร้างปฏิสังขรณ์ไว้กับวัดแห่งนี้หลายประการ เช่น สร้างโบสถ์ จากสำนักสงฆ์เล็กกลายเป็นวัดที่เจริญ ขณะนั้นมีพระอุปัชฌาย์โทเป็นเจ้าอาวาสที่วัดโคกมอญการธุดงค์ครั้งที่สองหลังจากออกพรรษาแล้วท่านจึงธุดงค์จากวัดโคกมอญกลับบ้านเกิดและจำพรรษาอยู่ที่วัดปราสาทเยอใต้หลายปีจึงเริ่มออกธุดงค์เป็นครั้งที่สอง โดยผ่านทางเมืองขุขันธ์ข้ามภูเขาพนมดงรัก มุ่งไปยังเมืองสาเก ในเขตจังหวัดพระตะบอง[6] และได้พบกับอาจารย์บุญมี ผู้เรืองวิชา พระอาจารย์บุญมี ได้นำท่านเดินธุดงค์ไปในที่ต่างๆ จนทั่วประเทศเขมร โดยใช้เวลาในการธุดงค์นานแรมปี จึงได้แยกกันออกเดินธุดงค์ไปคนละเส้นทาง พระมุมได้ผ่านมาทางกบินทร์บุรีข้ามภูเขาสองพี่น้อง อันเป็นทิวเขาดงพญาไฟ (ปัจจุบันคือดงพญาเย็น) จนกระทั่งมาถึงบ้านหวายได้ศึกษาวิชาอาคมกับหลวงพ่อโฮม ซึ่งเก่งทางว่านสมุนไพร แก้อาถรรพ์และแก้คุณไสยต่างๆ

เมื่อศึกษากับหลวงพ่อโฮมจนแตกฉานแล้วจึงออกออกธุดงค์ต่อไปอีก ผ่านป่าดงดิบไปสู่เขตจังหวัดสระบุรี เพื่อกราบสักการะรอยพระพุทธบาท พระพุทธฉาย ที่วัดพระพุทธบาท แล้วล่องต่อมาจนถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้าจำพรรษาอยู่หลายวัด ก่อนจะต่อไปยังจังหวัดสุพรรณบุรี เข้าสู่เขตอำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ต่อเนื่องไปยังพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดเลย อาณาจักรล้านช้าง เมืองเวียงจันทน์ ท่าแขก และสุวรรณเขต ตลอดระยะเวลาและเส้นทางในช่วงที่ท่านธุดงค์มานั้นก็ได้พบกับพระอาจารย์ที่มีวิชาอาคมเก่งกล้าหลายๆท่าน พระมุมได้ปวารณาตนเป็นศิษย์ ขอศึกษาเล่าเรียนและแลกเปลี่ยนความรู้วิชาต่างๆมากมาย จนได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์เหล่านั้น ให้ไปหาสมเด็จลุน เกจิอาจารย์แห่งนครจำปาศักดิ์ ประเทศลาว ท่านจึงธุดงค์ต่อไปเพื่อไปหาสมเด็จลุน แต่ต้องผิดหวังเพราะสมเด็จลุนเดินทางไปยังจังหวัดอุบลราชธานี พระมุมจึงได้ตามไปที่จังหวัดอุบลราชธานี จนพบกับสมเด็จลุนและฝากตัวเป็นศิษย์ติดตามกลับเข้าไปนครจำปาศักดิ์อีกครั้ง ได้ศึกษาความรู้ทางอาคมขลัง เลขยันต์ต่างๆ สมเด็จลุนยังได้มอบตำราวิทยาคมไสยเวทย์ให้กับท่านเพื่อนำมาศึกษาเพิ่มเติม จากนั้น พระมุมได้ลาสมเด็จลุนออกจากจำปาศักดิ์เดินทางกลับมาทางจังหวัดอุบลราชธานี ระหว่างนั้นได้พบพระอาจารย์ดีๆในตัวเมืองอุบลราชธานีระยะหนึ่ง แล้วจึงเดินทางต่อไปยังเมืองขุขันธ์ จนกลับถึงบ้านเกิดอีกครั้ง

การจาริกธุดงค์ของท่านแต่ละครั้งได้เดินทางเข้าป่าหาวิเวกแสวงธรรมไปตามป่าเขา ตามถ้ำ จนทั่วประเทศไทย และประเทศใกล้เคียง ทั้งลาว พม่า เขมร และมาเลเซีย ใช้เวลาธุดงควัตรอยู่ 10 พรรษา หลายครั้งของการออกเดินทางธุดงค์ต้องประสบกับความยากลำบากและอันตรายจึงเกือบถึงแก่ชีวิต เพราะต้องเดินด้วยเท้าเปล่า บางครั้งต้องเดินผ่านป่าดงดิบนับสิบๆวัน โดยมิได้พบหมู่บ้านเลย สาเหตุที่หลวงพ่อมีความอดทนอดกลั้นได้นั้น เนื่องจากท่านมีสมาธิจิตที่แข็งกล้าและอาศัยอำนาจของ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ อันยึดมั่นอย่างแน่วแน่อยู่เสมอนั่นเอง จึงทำให้ท่านอยู่ได้โดยปราศจากความหิว ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง

  • หน้าที่เจ้าอาวาส : พระมุมได้เดินทางกลับถึงบ้านปราสาทเยอและเข้าจำพรรษาอยู่ที่วัดปราสาทเยอใต้ ซึ่งเป็นวัดอีกแห่งหนึ่งในหมู่บ้าน เป็นช่วงเวลาหลังจากหลวงพ่อปริม เจ้าอาวาสวัดปราสาทเยอเหนือ รูปเดิมได้มรณภาพ ส่งผลให้วัดปราสาทเยอเหนือว่างเว้นจากการมีเจ้าอาวาสลงเป็นเวลานานถึง 5 ปี เมื่อประชาชนในหมู่บ้านทราบข่าวการกลับจากเดินทางธุดงควัตรของท่าน จึงได้พร้อมใจกันไปอาราธนานิมนต์ท่านให้ย้ายไปอยู่ประจำ ณ วัดปราสาทเยอเหนือ หลวงพ่อก็ได้สนองศรัทธาของสาธุชน โดยการรับไปจำพรรษาถาวรอยู่ที่วัดปราสาทเยอเหนือ เป็นเจ้าอาวาสวัดตั้งแต่นั้นมา ระหว่างอยู่วัดนั้น สิ่งที่ปฏิบัติอยู่เป็นนิจคือ การเดินจงกรม ทำกรรมฐานและทบทวนวิชาต่างๆในยามว่างจากผู้คนหรือกิจนิมนต์ นอกจากนั้น พระยาขุขันธ์ภักดีฯ เจ้าเมืองขุขันธ์ ยังได้นำเอาคัมภีร์สมุดข่อยไปถวายและตำราต่างๆไว้อย่างครบถ้วน ให้แก่หลวงพ่อมุมอีกด้วย บรรดาคัมภีร์และตำราดังกล่าวบรรจุศาสตร์ความรู้นานาประการ ทั้งวิชาอาคม และโหราศาสตร์